ประวัติความเป็นมาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทย
แรกเริ่มสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทย: การเติบโตในรั้วจามจุรี
สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมใน พ.ศ. 2491 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ความคิดริเริ่มของศาสตราจารย์เกษม อุทยานิน โดยเริ่มจากการจัดการเรียนการสอนรายวิชาสังคมวิทยา และต่อมาได้บรรจุรายวิชาดังกล่าวไว้ในหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิตเมื่อ พ.ศ. 2493 การตระหนักถึงความสำคัญขององค์ความรู้ด้านสังคมศาสตร์นี้นำไปสู่การจัดตั้งแผนกวิชาสังคม (Department of Social Studies) ใน พ.ศ. 2503 โดยศาสตราจารย์เกษมดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาคคนแรก และมีจ๊ากส์ อัมโยต์ (Jaques Amyot) นักมานุษยวิทยาชาวแคนาดา เข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมวางแผนและพัฒนาหลักสูตร
ในช่วงเวลาดังกล่าว ความรู้ทางสังคมวิทยาเริ่มเติบโตควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของบุคลากรทางวิชาการ มีการส่งเสริมให้อาจารย์เดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ อาทิ ยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ก่อนกลับมาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนในแผนกวิชา เช่น ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ศาสตราจารย์ ดร.เสริน ปุณะหิตานนท์ ศาสตราจารย์ ดร.พัทยา สายหู ศาสตราจารย์อานนท์ อาภาภิรมย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช ศาสตราจารย์ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง และรองศาสตราจารย์สุพัตรา สุภาพ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการวางรากฐานองค์ความรู้ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทย
ต่อมาใน พ.ศ. 2506 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดหลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนทางสังคมวิทยาโดยเฉพาะ และพัฒนาต่อเนื่องสู่หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา การเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษาในช่วงเริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางสังคมวิทยาเข้ากับประชากรศาสตร์ ก่อนจะเปิดสอนหลักสูตรสังคมวิทยาทั่วไปใน พ.ศ. 2513 ขณะที่องค์ความรู้ด้านมานุษยวิทยาเริ่มมีบทบาทเด่นชัดมากขึ้นใน พ.ศ. 2529 ด้วยการเปิดหลักสูตรปริญญาโทสาขามานุษยวิทยาโดยเฉพาะ และต่อมาใน พ.ศ. 2539 ได้มีการเปิดหลักสูตรอาชญาวิทยาเพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นพัฒนาการขององค์ความรู้ที่เริ่มจากสังคมวิทยาและขยายตัวสู่มานุษยวิทยาอย่างต่อเนื่อง
การเรียนการสอนสังคมวิทยาในยุคเริ่มต้นให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจโครงสร้างทางสังคม สถาบันทางสังคม การจัดระเบียบทางสังคม อาชญาวิทยา และวัฒนธรรม โดยศาสตราจารย์เกษม อุทยานิน ได้เชิญ ดร.วิบูลย์ ธรรมวิทย์ และพระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) มาร่วมสอนรายวิชาสังคมวิทยา ดร.วิบูลย์ ซึ่งได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มุ่งเน้นการวิเคราะห์อาชญากรรมผ่านแนวคิดเรื่องความไร้ระเบียบทางสังคม (Social Disorganization) และข้อเท็จจริงทางสังคม (Social Facts) ขณะที่พระยาอนุมานราชธนได้เสนอแนวคิดด้านมานุษยวิทยาผ่านการอธิบายความหมายของ “วัฒนธรรม” ในฐานะสภาพที่ทำให้สังคมเจริญงอกงาม โดยมีทั้งมุมมองแบบวัฒนธรรมสัมพัทธ์และอิทธิพลของแนวคิดวิวัฒนาการนิยม
จากจุดตั้งต้นดังกล่าว องค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยมีทิศทางสอดคล้องกับกระแสความรู้ตะวันตก โดยได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีกระแสหลัก เช่น หน้าที่นิยมและโครงสร้างหน้าที่นิยมแบบอเมริกัน ก่อนจะค่อย ๆ เปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะการนำแนวคิดหลังสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนโดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุภางค์ จันทวานิช รวมถึงบทบาทสำคัญของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.อมรา พงศาพิชญ์ และศาสตราจารย์กิตติคุณสุริชัย หวันแก้ว ซึ่งช่วยผลักดันให้องค์ความรู้ทางทฤษฎีถูกนำไปประยุกต์ใช้กับงานภาคสนามและการพัฒนาสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาภายใต้ร่มเงาของสงครามเย็นและการขยายตัวของความรู้
ในช่วงบริบทของสงครามเย็น องค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทยถูกดึงเข้าไปมีบทบาทอย่างใกล้ชิดกับภารกิจของรัฐ ความรู้เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการอธิบายและจัดการกับประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ สงครามจิตวิทยา และการรับมือกับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบมาร์กซิสม์ ในช่วงเวลานี้ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งถูกเชิญให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่หน่วยงานของรัฐ และขณะเดียวกัน องค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาก็เริ่มขยายตัวออกไปยังสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล
ต่อมาใน พ.ศ. 2507 ได้มีการจัดตั้งภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาอย่างเป็นทางการ ภายใต้บริบทของรัฐชาติในยุคสงครามเย็นที่มุ่งสร้างเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมไทย การจัดการเรียนการสอนในระยะนี้ตั้งอยู่บนฐานของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการศึกษาด้านชาติพันธุ์และท้องถิ่น โดยใน พ.ศ. 2512 ได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยทางสังคมขึ้นเพื่อรองรับทุนสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและต่างประเทศ งานวิจัยจำนวนมากในช่วงนี้มุ่งศึกษาชาติพันธุ์ การพัฒนาท้องถิ่น และภูมิภาคล้านนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างฐานความรู้ทางมานุษยวิทยาในภูมิภาค
ในช่วงทศวรรษ 2520 การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์และการเมืองส่งผลให้องค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ โครงสร้างรัฐ และสังคม ต่อมาในทศวรรษ 2530–2540 งานศึกษาจำนวนมากเริ่มมุ่งเน้นประเด็นการต่อรอง การต่อต้าน และการขัดขืน ขณะที่ตั้งแต่ทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา ความสนใจทางวิชาการได้ขยับขยายไปสู่การศึกษาชายแดน ภาวะข้ามชาติ และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างรัฐ ชุมชน และการเคลื่อนย้ายของผู้คน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อวงวิชาการไทยจนถึงปัจจุบัน
สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีพัฒนาการขององค์ความรู้ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาใกล้ชิดกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดตั้งแผนกวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาใน พ.ศ. 2508 ภายใต้คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.พลตรีบัญชา มินทรขินทร์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ต่อมาได้ยกระดับเป็นคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาใน พ.ศ. 2527 การเรียนการสอนของธรรมศาสตร์มุ่งผลิตบัณฑิตด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาโดยตรง และมีนักวิชาการจำนวนมากที่มีอิทธิพลต่อวงวิชาการไทยในเวลาต่อมา
การขยายตัวขององค์ความรู้ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทยยังปรากฏอย่างชัดเจนในสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ โดยใน พ.ศ. 2514 มหาวิทยาลัยรามคำแหงเริ่มเปิดสอนรายวิชาพื้นฐานด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ก่อนจะพัฒนาเป็นภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาใน พ.ศ. 2536 ขณะที่มหาวิทยาลัยศิลปากรได้จัดตั้งภาควิชามานุษยวิทยาใน พ.ศ. 2517 ซึ่งมีลักษณะเด่นในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คติชนวิทยา และวัฒนธรรม โดยมีนักมานุษยวิทยาคนสำคัญ เช่น ศาสตราจารย์พิเศษศรีศักร วัลลิโภดม และศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มหาวิทยาลัยพายัพได้เปิดการเรียนการสอนด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาภายใต้การผลักดันของคอนราด คิงฮิลล์ ขณะที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้พัฒนาการเรียนการสอนสังคมวิทยาจากวิชาพื้นฐาน สู่การจัดตั้งภาควิชาสังคมวิทยาอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2518 นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร ต่างมีบทบาทในการกระจายองค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาออกสู่ภูมิภาค โดยเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้กับการทำงานในชุมชนและการพัฒนาสังคม
ตั้งแต่ทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา องค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทยเริ่มบูรณาการเข้ากับศาสตร์ด้านการพัฒนาอย่างชัดเจน หลายสถาบันได้ปรับหลักสูตรให้เน้นสังคมวิทยาประยุกต์ การพัฒนาชุมชนเมือง และการวิจัยเพื่อการพัฒนา สะท้อนบทบาทของศาสตร์ทั้งสองที่ไม่เพียงทำหน้าที่อธิบายสังคม แต่ยังมีส่วนร่วมโดยตรงในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ชุมนุมนักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยกับสภาพแวดล้อมของความรู้ที่เปลี่ยนไป
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาไทยได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมนักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาสยาม (SASA) เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการส่งเสริมองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนงานวิชาการ และการสร้างเครือข่ายนักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทย ความพยายามดังกล่าวเริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ด้วยการจัดการประชุมวิชาการระดับชาติด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา (Thailand Annual Conference on Anthropology and Sociology) เป็นครั้งแรก ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
การประชุมดังกล่าวกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวงวิชาการ โดยเปิดพื้นที่ให้เกิดการนำเสนอและถกเถียงประเด็นร่วมสมัยทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาอย่างกว้างขวาง และได้กำหนดให้มีการจัดประชุมอย่างต่อเนื่องทุก ๆ สองปี ครั้งที่สองใน พ.ศ. 2563 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “คลี่–คลาย–ญ่าย–เคลื่อน” โดยมีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นเจ้าภาพ และครั้งที่สามใน พ.ศ. 2566 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “ม(า)นุษยะในสภาวะพลิกผัน” โดยภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ใน พ.ศ. 2568 ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระดับชาติฯ ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “ความหวังและความหวาดหวั่น: ฝ่าคลื่นความไม่แน่นอนผ่านอนาคตทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา” การประชุมครั้งนี้มุ่งสำรวจสภาวะความไม่แน่นอน ความเปราะบาง และความวิตกกังวลที่ร่วมสมัย พร้อมตั้งคำถามถึงอนาคตของการดำรงอยู่ร่วมกัน ทั้งในระดับมนุษย์และพหุสรรพสิ่ง โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยเข้ากับเวทีวิชาการระดับนานาชาติ ผ่านการเชิญนักวิชาการจากต่างประเทศ เช่น Professor Eben Kirksey จาก University of Oxford มาร่วมแลกเปลี่ยนและขยายพรมแดนทางความคิด
พัฒนาการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทยมิได้หยุดอยู่เพียงการสร้างองค์ความรู้เชิงทฤษฎี หากแต่เป็นศาสตร์ที่เคลื่อนไหวไปพร้อมกับสังคมไทย เปิดพื้นที่ให้เกิดการวิพากษ์ ตั้งคำถาม และจินตนาการถึงอนาคตทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
----------
เอกสารอ้างอิง
เกษม อุทยานิน. (2503). สังคมวิทยา (พิมพ์ครั้งที่ 3). โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์.
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี และอรัญญา ศิริผล. (2558). ย้อนพินิจการประกันคุณภาพอุดมศึกษาด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. วนิดาการพิมพ์.
พระยาอนุมานราชธน. (2496). เรื่องวัฒนธรรม. ม.ป.พ.
วิบูลย์ ธรรมวิทย์. (2493). อาชญาวิทยา: หลักวิชาและแนวปฏิบัติป้องกันและแก้ไขอาชญากรรมแห่งประเทศไทย. มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง.